การใช้ชีวิตในยุคนี้ พวกเราใช้โทรศัพท์มือถือราวกับว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต เราไม่สามารถขาดมันได้เลย เราใช้โทรศัพท์มือถือไปกับอะไรบ้าง ผมขอยกตัวอย่าง พฤติกรรมการใช้มือถือของผม ส่วนใหญ่ผมใช้ในการติดต่อสื่อสารผ่านโปรแกรม Line เชื่อมต่อกับเพื่อนๆผ่าน Facebook ใช้เช็คอีเมล์ ใช้ App ทางด้านธุรกิจเพื่อเช็คดูบัญชีกิจการ และ App CRM ไว้ดูแลลูกค้า
ผมใช้แอพในการบันทึกเพื่อวัดผลในการดำเนินชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ใช้ App จัดเวลาการนั่งสมาธิ วัดการออกกำลังกาย ใช้แอพในการบันทึกสิ่งที่ต้องจำ ในการเดินทางผมใช้แอพช่วยบอกเส้นทาง ใช้แอพSpotify ในการฟังเพลงหรือฟังPodcast ผมใช้แอพ Goodread ในการบันทึกหนังสือที่อ่าน ใช้แอพในการฝึกเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผมใช้แอพในการช่วยทำกราฟฟิตตอนเขียนบทความ ใช้แอพในการบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนตัว ฟิ้วเยอะเหมือนกันนะครับ นอกจากนี้ผมใช้มันแทนกล้องถ่ายรูป ไว้คุยทางไกลกับครอบครัว เป็นเครื่องคิดเลข จ่ายบิลออนไลน์ ใช้เช็คราคาน้ำมัน จองโรงแรม และเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดไว้ดูกิจการ
จากที่ลิสต์มานี้ก็ค่อนข้างเยอะมากๆเลย เคยนั่งจับเวลาการใช้งานมือถือปรากฎว่าในแต่ละวันค่าเฉลี่ยที่ผมใช้อยู่ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ถือว่าน้อยกว่า น้องๆบางคนที่เขาใช้เล่นเกมส์ด้วยซ้ำ อาจจะอยู่ประมาณ 9-10 ชั่วโมง
ประเทศไทยมีประชากรเล่นมือถือและเล็นอินเตอร์เน็ต นานเป็นอันดับสามของโลกครับรองจาก ฟิลิปปินส์ และบราซิล ส่วนญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้มือถือเล่นอินเเตอร์เน็ตน้อยที่สุดในโลก เพียงแค่ 3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
เกริ่นกันมายาวนาน กับการใช้งานมือถือครับ เวลาที่เราควรใช้นั้นคือเวลาไหนก็ได้ มีเพียงแค่สองเวลาที่ไม่แนะนำนั้นคือ การใช้งานมือถือทันทีที่ตื่นนอน กับการใช้งานมือถือก่อนที่เราจะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน
เหตุผลหลักๆมาจากการทำงานของสมองของเราครับ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่สำคัญของชีวิต เราคงไม่อยากให้สมองเต็มไปด้วยข้อมูล มากมายตอนที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมา เรามาดูเหตุผลทั้งสามข้อกัน
การดูมือถือเพิ่มความเครียดและความกังวล จากงานวิจัยต่างๆพบว่าการดูมือถือเป็นการกระตุ้นให้สมองเราคิดตามในเรื่องราวนั้นๆ และมีการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า มีการใช้งานมือถือของวัยรุ่น(ในช่วงอายุมากกว่า20) ยิ่งใช้มือถือมากเท่าไร จะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้มากขึ้นเท่านั้น ถ้าคุณไม่อยากเริ่มต้นกับวันด้วยความเร่งรีบ และความเครียดต่างๆ ก็ไม่ควรใช้มือถือในตอนเช้ากันนะครับ
เหตุผลที่สอง ก็คือ เวลาของคุณกำลังถูกขโมยไป การใช้มือถือเป็นการสูญเสียเวลาในการปฏิสัมพันธ์กับโลกของจริง ในขณะที่เราเล่นเฟสบุ๊ค เช็คอีเมล์ อ่านแมสเสจต่างๆ ในช่วงตอนที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมานั้น เท่ากับ คุณปล่อยให้ความคิด ความเห็นของคนอื่นๆเข้ามาในหัวของคุณ แทนที่จะเป็น ความคิดที่ออกมา จากข้างในของเราเอง หรือนั่งนิ่งๆเพื่อทบทวนเป้าหมายของวันนั้น ลองจินตนาการว่า ช่วงเช้าเราไม่อยากให้ใครไม่รู้เดินเข้ามาบ้านเรามากมาย แต่เราปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาผ่านทางโทรศัพท์ของเราเอง
เหตุผลสุดท้ายคือ ใจของเราจะถูกรบกวนตลอดทั้งวัน คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าเราถูกรบกวนในช่วงเช้าได้เราก็จะสามารถกลับมาโฟกัสใหม่ในวันนั้นได้อีกรอบ แต่ในความเป็นจริงจากงานวิจัยได้ระบุว่า ถ้าสมองของเราถูกรบกวนในขณะที่มันยังตื่นไม่เต็มที่ วันนั้นทั้งวัน จะเป็นวันที่เราจะถูกรบกวนได้โดยง่าย จะโฟกัสได้ยากขึ้นมาก ถ้าเราใช้งานมือถือในวันนั้น สมองเราส่งผลสู่จิตใจเราให้เกิดความสนใจในมือถือตลอดทั้งวันครับ เราสามารถตั้งชื่อวันนั้น เป็นวันที่ถูกรบกวน หรือ Distract Day ได้เลย
ในระหว่างที่เราเล่นเฟสบุ๊คอยู่นั้นสมองของเราก็จะหลั่งสารจากสมองคือ โดพามีน หรือสารเร่งความสุข เหมือนเด็กที่ได้กินลูกกวาดแท่งโต ถ้าเราทำอย่างนั้นบ่อยๆ สมองก็จะถูกกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมให้เสพติดสารหลั่งตัวนี้ ทำให้เราติดมือถือครับ ขนาดที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ยังทำได้ยากเลย แล้วนับประสาอะไรกับเด็ก ยิ่งเด็กวัยเล็กๆด้วยแล้วยิ่งมีปัญหาครับ
หนุนนำขอแนะนำว่าถ้าจะเริ่มใช้มือถือในแต่ละวัน ขอให้เริ่มใช้กันในช่วงสายๆของวันกันกันนะครับ เวลาช่วงเช้าเป็นเวลาที่จะอยู่กับตัวเอง และอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกๆของเรา ถ้าให้ดีคือไม่นำมือถือเข้าห้องนอนตั้งแต่แรกเลยก็น่าจะดีกว่าครับ และนำนาฬิกาปลุกและหนังสืออ่านก่อนนอนดีๆสักเล่มเพื่อเข้าห้องนอนแทน มาบอกลามือถือในช่วงเวลาสำคัญด้วยกันครับ
Comments