การรับส่งอีเมล์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยปี 1970 ตอนนั้นระบบที่มีจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีอีเมล์เราเรียกว่า ARPANET หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมาเรื่อย การส่งอีเมล์เพื่อพาณิชย์ครั้งแรกที่ถูกเรียกว่าสร้างยอดรายได้แบบถล่มทลายนั้นเกิดขึ้นในช่วงปี 1978 โดยบริษัท Digital Equipment ได้มีการจัดส่งอีเมล์แบบ Mass Email หรือเป็นการส่งถึงผู้รับปลายทางจำนวนหลายคน การส่งครั้งนั้นมีผู้รับประมาณ 400 คน ทางบริษัทระบุว่าในการส่งอีเมล์รอบนั้นได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทสูงถึง 13 ล้านเหรียญสหรัฐก็ประมาณ หรือประมาณ 400 ล้านบาทเท่านั้นเอง อยากได้แบบนี้บ้างจัง
ใครบอกว่าการส่งอีเมล์เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย ที่ไม่อัพเดต ใครทำก็เชยไปแล้ว แต่เชื่อมั้ยครับว่า Email Marketing กลับกลายเป็นช่องทางในการสร้างความเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพมากที่สุดช่องทางหนึ่ง ในบทความนี้เราจะมาปูความรู้ทางด้าน Email Marketing กัน และเราจะได้ไปปรับใช้กับแบรนด์ของเรา สร้างช่องทางคลาสิค เพิ่มรายรับให้กับธุรกิจของเรา
Email Marketing คืออะไร
Email Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ประเภทหนึ่ง โดยที่ธุรกิจดำเนินการเก็บข้อมูลที่อยู่อีเมล์ของลูกค้า และทำการส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าในกลุ่มเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ทั้งการขาย และการตลาด การนำเสนอสินค้าใหม่ของธุรกิจ การส่งข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ การโปรโมตสินค้าและบริการตามโปรโมชั่น การขอความคิดเห็นของลูกค้า การเชื่อมความสัมพันธ์กับทางลูกค้า เป็นต้น
Email Marketing เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหลัก ที่บริษัทส่วนใหญ่นำมาใช้เนื่องจากความง่าย ไม่ซับซ้อน ในการใช้งาน สามารถส่งหาลูกค้าได้ 100% แต่จะเปิดอ่านหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง Email Marketing มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการค่อนข้างต่ำ แต่ได้ผลลัพธ์กลับมานั้นสูงเหลือเกิน มีงานวิจัยหนึ่งได้ระบุว่า ค่า ROI หรือ ความคุ้มค่าในการลงทุนสูงถึง 1:42 (ทุก $1 ที่ลงทุนไปได้ผลตอบรับถึง $42 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว)
ประโยชน์ในการทำ Email Marketing
ทุกบริษัทสามารถนำการทำ Email Marketing มาปรับใช้ได้หลายรูปแบบไม่มีข้อจำกัดตายตัว ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และวัตถประสงค์ทางการตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ได้นำไปใช้ดังนี้
สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าของธุรกิจ
นำเสนอสินค้าและบริการที่น่าสนใจ
เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์
เปลี่ยนคนที่สนใจให้กลายมาเป็นลูกค้าของกิจการ
เพิ่มโอกาสการขายให้กับกิจการ เพิ่มอัตราการซื้อซ้ำ
นำไปใช้กับกลยุทธ์ทางด้าน Inbound Marketing หรือการทำการตลาดแบบดึงดูด
นำไปใช้เพื่อขอ Feedback ข้อเท็จจริงกับลูกค้า เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการ
เป็นช่องทางให้ในการให้บริการหลังการขายให้กับลูกค้า
ทำ Personalize Marketing โดยแบ่งลูกค้าตามความสนใจต่างๆ
ประเภทของ Email Marketing
เราสามารถแบ่งวัตถุประสงค์ในการส่งอีเมล์ให้ลูกค้าได้หลายประเภท ตอนแรกผมก็มักจะคิดว่าการส่ง Email มีแบบเดียวคือส่งเพื่อให้ลูกค้าวิ่งมาซื้อของกับเรามากขึ้น แต่จริงแล้วเราควรจะต้องวางแผนว่าเรากำลังส่งให้ใครเพราะสถานะของลูกค้าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คนที่ได้รับอาจจะยังไม่เคยมีการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการของเรามาก่อน หรือ ลูกค้าที่เพิ่งจะซื้อของครั้งแรก ลูกค้าที่ทำการสั่งซื้อเสร็จ ลูกค้าที่เคยซื่อแค่ครั้งเดียว หรือลูกค้าที่ห่างหายไปจากการสั่งซื้อมานาน จะเห็นได้ว่า สถานะของลูกค้านั้นไม่เหมือนกัน เราต้องเลือกการส่งด้วยประเภทอีเมล์ที่แตกต่างกันไปด้วย ลองดูความแตกต่างของเมล์แต่ละแบบดูครับ
Email Campaign จะเป็นการส่งอีเมล์จากต้นทางไปสู่กลุ่มลูกค้าปลายทางหลายกลุ่ม เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นการขาย กระตุ้นความสนใจ หรือจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าคลิกลิงค์ เพื่อไปดาวน์โหลด E-Book หรือ โบรชัวร์ ต่างๆตามแผนการตลาดของธุรกิจ
Email Newsletters จะเป็นการส่งข่าวสารรายเดือนรายสัปดาห์ แจ้งความคืบหน้า ปรับเปลี่ยนนโยบายบางอย่างของกิจการ หรือส่งเป็นรายอาทิตย์ เพื่อนำบทความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและเป็นประโยชน์ของลูกค้า ส่งไปให้ลูกค้าอ่านบน Email ได้ครับ
Automated Marketing Email เป็นอีเมล์ที่กิจการตั้งค่าเพื่อส่งหาลูกค้าอัติโนมัติกรณีลูกค้า ได้ดำเนินการบางอย่างบนเว็บไซต์ยกตัวอย่างเช่น ทำการสมัครสมาชิกรับข่าวสารของกิจการ ระบบก็จะส่งอีเมล์ ต้อนรับสมาชิกใหม่ หรือกรณีที่ถึงวันเกิดของลูกค้าระบบก็ส่งโค๊ดโปรโมชั่นเพื่อฉลองวันเกิดให้กับลูกค้าด้วยส่วนลดที่สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาจำกัด หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่ทำการซื้อสินค้า โดยกดสั่งสินค้าแต่ไม่ได้จ่ายเงินระบบก็ส่ง Email แจ้งเตือนเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามาดำเนินการสั่งซื้อต่อให้จบกระบวนการ ทั้งนี้เราต้องตั้งค่าเริ่มต้นให้กับอีเมล์แบบนี้ก่อนครับ ถึงจะใช้ระบบ Automated Email นี้ได้
Automated Transaction Emails ก็ถือว่าเป็นระบบเมล์ตอบรับส่งอัตโนมัติที่ระบบของเราต้องมี โดยเฉพาะธุรกิจประเภท E-Commerce ที่ทำการรับส่งอีเมล์ในการ Confirm สถานะการซื้อขายต่างๆ ตั้งแต่ระบบการยืนยันการสั่งซื้อ อัพเดตสถานะการจัดส่งสินค้า การแจ้งเตือนการลงทะเบียนสัมนาหรืออีเวนต์ต่างๆ การติดตั้งระบบ Automated Transaction Email ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเราเป็นอย่างมาก
เริ่มต้นทำ Email Marketing อย่างไรดี
เจ้าของธุรกิจ นักเรียนกนักศึกษา พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทุกคนสามารถเรื่มต้นทำ Email Marketing ได้อย่างง่ายๆ เริ่มต้นเพียง 5 ขั้นตอนเท่านั้น ลองมาดูกันครับ
สร้างรายชื่อผู้รับจดหมาย
เลือกผู้ให้บริการอีเมล์มาร์เกตติ้ง
แบ่งกลุ่มผู้รับจดหมาย
สร้างเนื้อหาที่น่าอ่าน น่าติดตาม อย่างต่อเนื่อง
หมั่นปรับปรุงวิเคราะห์วิธีการทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ
1. สร้างรายชื่อผู้รับจดหมาย (Mailing List)
สิ่งที่เราควรจะต้องทำเป็นสิ่งแรกๆของ Email Marketing นั้นคือ การหารายชื่ออีเมล์ของผู้รับ (Email Address) โดยเปิดช่องทางให้ผู้ที่ต้องการรับข่าวสารข้อมูล จากทางแบรนด์ของเราผ่านช่องทางสมัครรับข่าวสาร (Subscribe) สิ่งที่ต้องใส่ใจคือ รายชื่อเหล่านี้ต้องมาจากการยินยอมและสมัครใจของผู้ที่ให้ที่อยู่อีเมล์มา มีหลายบริษัทหลายเอเจนซี่พยายามจะขายรายชื่ออีเมล์เหล่านี้ ผมเคยหลงซื้อ แล้วผลลัพธ์คือ เสียเปล่าเพราะรายชื่อเมล์เหล่านั้น ได้รับจริงแต่ไม่มีการเปิดอ่าน
ในปี 2564 ประเทศไทยมีการปรับใช้กฏหมายการคุ้มครองส่วนบุคคล (PDPA) เราต้องมั่นใจด้วยว่าเรามีรายละเอียดที่อธิบายถึงการนำอีเมล์ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร ข้อมูล อะไรที่เราจะจัดเก็บด้วยครับ
การเพิ่มรายชื่ออีเมล์ของผู้รับที่ดีที่สุดคือ การใช้เทคนิคการรับข้อเสนอพิเศษ เราเรียกว่า Lead Magnets วิธีการที่ให้สิทธิพิเศษหรือข้อมูลบางอย่างให้แก่ผู้ที่ลงทะเบียนอีเมล์กับแบรนด์เท่านั้นสิ่งที่เรามอบให้นี้ มีได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น
E-Books ให้ดาวน์โหลด
สิทธิพิเศษในการสัมนาออนไลน์
เครื่องมือออนไลน์ หรือ แทมแพลตธุรกิจต่างๆ
สิทธิพิเศษในการได้รับการปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
คูปองส่วนลดพิเศษ
เมื่อเราเลือก Lead Magnets ได้แล้วเรา บนเว็บไซต์ของเราก็ควรจะเพิ่มปุ่มกด เพื่อดาวน์โหลด และแบบฟอร์มลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ เราเรียกรูปแบบฟอร์มให้กรอกเอกสารเหล่านี้ว่า Opt-In Form เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ลงทะเบียนโดยส่วนใหญ่เราก็จะเก็บข้อมูลพื้นฐานคือ ชื่อ นามสกุล อีเมล์และเบอร์มือถือเท่านั้น หัวข้อและปุ่ม CTA พยายามตั้งชื่อให้ดึงดูดเพื่อที่จะได้รับความสนใจ กระตุ้นให้รับสิทธิพิเศษนี้ครับ
2. เลือกผู้ให้บริการอีเมล์มาร์เกตติ้ง (Email Marketing Service)
Email Marketing นั้นเราจำเป็นต้องส่งอีเมล์ไปให้ผู้รับเป็นจำนวนมาก บางครั้งเราก็มีผู้รับที่เป็นกลุ่มเฉพาะต่างๆ รวมถึงการนำข้อมูลที่ผู้รับอีเมล์ได้เปิดอ่านหรือทำการคลิกติดต่อหรือคลิกปุ่ม CTA กลับมาวิเคราะห์ว่าอัตราส่วนต่างๆ เป็นกี่เปอร์เซนต์ มีผลตอบรับกลับมาได้ผลสัมฤิทธ์หรือไม่ ขั้นตอนต่างเหล่านี้ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Email Marketing จำนวนมาก เข้ามาช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นครับ ผมนำรายชื่อ ผู้ให้บริการ Email Marketing มาหาดูกัน ทั้งห้าตัวนี้เหมาะสำหรับธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เลยครับ เราอาจจะเช็คราคาและ Package เริ่มต้นตามความจำเป็นก่อน ข้อดีคือ เราสามารถทดลองใช้งานแต่ละตัวได้โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย
3. แบ่งกลุ่มผู้รับจดหมาย
หลังจากที่เราเลือกผู้ใหบริการ Email Marketing เรียบร้อยและมีผู้รับสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว เราก็มาแบ่งกลุ่มสมาชิกที่สมัครโดยอาจจะแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆตามความชอบสินค้าและบริการของเรา หรือแบ่งตาม Customer Segment ที่เรากำหนดในแผนธุรกิจของเราก็ได้ครับ บางธุรกิจแบ่งตามภูมิประเทศ เราลองมาดูกันว่าเราจะทำการแบ่งประเภทผู้รับตามกลุ่มใดได้บ้าง
ข้อมูลประชากร (Demographics) แบบนี้เป็นการแบ่งคร่าวของประเภททั่วไปของผู้รับ ตามอายุ ตามเพศ ตามรายได้หรือ ตามระดับการศึกษา รวมถึงความสนใจของผู้รับด้วย
ตำแหน่งที่อยู่ตามภูมิภาค (Geographic Area) การแบ่งลักษณะนี้จะเหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าและบริการ ขึ้นอยู่กับ สถานที่ อาณาเขต จังหวัด หรือประเทศต่างๆได้
การเข้าใช้งานบนเว็บไซต์ (Website Behavior) บนเว็บไซต์เราสามารถดูพฤติกรรม การใช้งานบนหน้าเว็บไซต์ยิ่งเราสามารถส่ง Email แบ่งตามการเข้าถึงหน้าต่างๆ ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการของเราครับ ยกตัวอย่างเว็บไซต์ อโกด้า เวลาที่มีผู้ชม Login เข้าไปดูโรงแรมที่น่าสนใจ Agoada ก็จะนำเสนอส่วนลดพิเศษของโรงแรมนั้นไปยัง ลูกค้าที่สนใจได้ทันที
ประวัติการสั่งซื้อ (Purchase History) เมื่อลูกค้าสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์แล้วเราสามารถแบ่งลูกค้าตามจำนวนครั้งในการซื้อหรือยอดสั่งซื้อได้ทันที อย่าง Starbuck ลูกค้าแต่ละราย เมื่อทำการสั่งซื้อเครื่องดื่ม ก็จะมีข้อมูลอยู่บนระบบ Starbuck ก็สามารถส่งอีเมล์ที่กระตุ้นการซื้อซ้ำ หรือให้สิทธิพิเศษส่วนลดในการสั่งซื้อครั้งต่อไปของลูกค้าได้
แบ่งตามตำแหน่งช่องทางการตลาด (Marketing Funnel) ตามปกติแล้วเวลาเราทำการตลาดออนไลน์นั้นเราจะแบ่งลูกค้าตามช่วงเวลาที่เข้าเจอกับแบรนด์ของเรา ในช่วงเริ่มต้นเจอเราบนโซเชียลมิเดีย เริ่มเข้ามาอ่านบทความ เริ่มสนใจสั่งซื้อสินค้า ทำการสั่งซื้อครั้งแรก ไปจนถึงการสั่งซื้อซ้ำๆ จนกลายเป็นลูกค้าประจำ เราเรียกกระบวนการเหล่านี้ว่าการทำ Marketing Funnel เราสามารถส่งอีเมล์และเลือกข้อความที่จะติดต่อแยกประเภทของลูกค้าตามช่วงเวลาต่างๆได้
ประเภทของความสนใจของแต่ละคน (Personal Interest) เราสามารถแบ่งกลุ่มตามความสนใจของประเภทกลุ่มย่อยในธุรกิจของเราได้ ยกตัวอย่าง ธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา เราสามารถส่งอีเมล์ข้อแบ่งประเภทกีฬาให้คนกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจแตกต่างกันได้
4. สร้างเนื้อหาที่น่าอ่าน น่าติดตาม อย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็จะมาว่าข้อความ หรือคอนเทนต์ที่เราจะส่งให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นไปตามจุดประสงค์ในการส่งอะไร เราควรจะตั้งเป้าหมายให้ชัดและเนื้อหาในอีเมล์ฉบับนั้นก็จะควรจะสอดคล้องกับเป้าหมายด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์กล่าวต้อนรับ สมาชิกใหม่ อีเมล์แจ้งข่าวสารประจำเดือน อีเมล์แนะนำสินค้าหรือบริการใหม่ อีเมล์ยืนยันการสั่งซื้อ สิ่งที่สำคัญก็คือ โทนในการเขียน จะต้องเป็นการเขียนถึงบุคคลที่สอง ถ้าสามารถใส่ชื่อผู้รับได้ก็ควรจะทำให้ โทนเป็นลักษณะไม่เป็นทางการจนเกินไปและไม่เล่นมากเกินขอบเขต ให้ดูเป็นลักษณะของเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ประมาณนั้นครับ สิ่งที่ควรจะเน้นในข้อความมีดังนี้
เนื้อหาควรสั้นและกระชับ
ใช้คำที่สุภาพ เลียกเลี่ยงคำพูดที่ดูสองแง่สองง่าม
หลีกเลี่ยงคำศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ทำให้ดูสับสน
พยายามใส่ลิงค์ไม่มากเกินไปเพราะจะดูเป็น Spam ได้
พยาใช้ Email ของบริษัท หรืออีเมล์ที่ได้รับรองความปลอดภัยต่างๆ
ใช้ปุ่ม CTA ตรวจสอบ URLs ปลายทางด้วยว่าลิงค์ไปหน้าที่ต้องการหรือไม่
5. หมั่นปรับปรุงวิเคราะห์วิธีการทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่เราส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าแล้ว บริการ Email Marketing Service ที่ให้บริการกับเราจะมี หน้ารายงานกับรับอีเมล์ให้เราเห็นด้วยว่าอัตราส่วนในการรับร้อยละเท่าไร เพราะบางครั้งอีเมล์แอดเดรสที่เราได้รับมานั้นอาจจะผิดก็ได้ครับ ในตัวรายงานก็จะบอกค่าต่างๆไม่ว่าจะเป็น จำนวนที่เมล์ที่สามารถส่งได้ จำนวนที่มีการเปิดอ่าน เราลองมาดูตัววัดที่สำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้กัน เพื่อจะได้วิเคราะห์ค่าต่างๆได้และนำไปปรับปรุงการส่งในครั้งต่อไป
Delivery Rate: เป็นค่าที่แสดงว่าอีเมล์ฉบับนั้นไปถึงมือผู้รับได้กี่เปอรเซนต์ ถ้าค่าสูงเกิน 95% ก็ถือว่าอีเมล์ลิสต์ของลูกค้าเรามีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าต่ำกว่านั้นเราจำเป็นต้องปรับปรุงโดยการเข้าไปลบ Email Address ที่ลูกค้าลงทะเบียนมาผิดครับ
Bounce Rate: ค่าอัตราการตีกลับ ค่าของตัวนี้จะตรงข้ามกับ Delivery Rate ค่านี้จะแสดงเป็นเปอร์เซนต์ว่ามีเมล์จำนวนเท่าไรที่ส่งไปไม่ถึง ถ้ามีค่านี้สูงต้องระวัง ในการส่งเมล์ครั้งต่อไป ระบบตรวจสอบอาจจะจัดการให้เมล์ที่ส่งมาจากเรานำเข้าไปเก็บใน Spam Folder ก็ได้แทนที่ลูกค้าจะมองเห็นในอินบ๊อกปกติของพวกเขากลับหาเมล์ของเราไม่เจอ
Open Rate: เปอร์เซนต์การเปิดอ่านของผู้ที่ลงทะเบียนรับข่าวสารของเรา เมื่อเราส่งไป 100% จะมีผู้อ่านกี่เปอร์เซนต์ ค่าตัวนี้ทำให้เรารู้ความจริงว่า มีผู้ที่สนใจเนื้อหา แบรนด์ของเราจริงหรือไม่ ทำให้เรานำค่าเหล่านี้ไปปรับปรุงเนื้อหาหรือการเขียนหัวข้ออีเมล์ที่น่าสนใจ ที่กระตุ้นให้คนเปิดอ่านได้มากขึ้นได้
Click Rate: ค่านี้แสดงจำนวนเปอร์เซนต์ของคนที่คลิกเข้ามาจากปุ่ม Click to Action (CTA) ทำให้เราทราบว่าเรื่องที่เราส่งไปลูกค้า สนใจหรือไม่ ก็เหมือนเป็นการวัดค่า Engagement ได้ทางหนึ่งครับ
Spam Complaints: จำนวนที่ลูกค้าหรือผู้รับทำเครื่องหมายว่าอีเมล์ของเราเป็น Spam ลักษณะนี้จะเจอส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก เมื่อผู้รับอีเมล์ไม่ได้ทำการลงทะเบียนสมัครรับข่าวสารจากทางต้นทาง ตรงนี้จะส่งผลให้ ระบบ Spam Filtor จดจำและทำการ Block ไม่ให้เมล์ทางแบรนด์เราส่งไปได้
กลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งอีเมล์
หลังจากที่เราทราบวิธีการทำ Email Marketing กันแล้วมีกลยุทธ์ที่จะทำให้การรับส่งเมล์เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองทำตามดูนะครับ
พยายามรักษาความเป็นมืออาชีพในการส่งเมล์ - การรักษาคำพูดค่อนข้างสำคัญ ถ้าเราแจ้งว่าจะส่ง Email หาลูกค้าทุกครั้งที่มีข้อมูล เราจำเป็นต้องทำตามนั้น การส่งน้อยเกินไปจะไม่เหมาะสม หรือส่งไปให้ผู้ที่ไม่ได้สมัครเพื่อรับข่าวสารของเราก็ไม่ควรทำครับ การส่งบ่อยเกินไปก็ทำให้ผู้รับรำคาญได้ง่าย ส่งผลลบให้กับแบรนด์ ดังนั้นเหล่าควรส่งด้วยจำนวนครั้งที่เหมาะสม ส่งด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพ ให้เป็นประโยชน์ให้กับผู้รับปลายทาง
มองหาเวลาที่เหมาะสม - ทุกครั้งที่ทำการส่งอีเมล์นั้น เราควรคำนึงถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยว่าลูกค้าที่รับเมล์ของเราสะดวกอ่านช่วงไหน ข้อมูลเหล่านี้เราจะได้รับ จากทางรายงานของระบบ เราสามารถทดสอบโดยใช้กฏ A/B Testing ได้ลองทดลองส่งช่วง เช้า กลับช่วงเย็นและตรวจสอบค่า Feedbackที่ได้รับครับ
พยายามออกแบบ หรือเขียนอีเมล์ที่สามารถอ่านได้ง่ายบนมือถือ - มีงานวิจัยพบว่าผู้รับอีเมล์เปิดอ่านอีเมล์บนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 50% ดังนั้นการจัดวางรูปแบบที่สามารถเปิดอ่านในมือถือได้ง่าย และปุ่มต่างๆ หรือรูปต่างๆก็ควรทำให้มีขนาดใหญ่เหมาะกับนิ้วมือของผู้อ่าน
พยายามสร้างคุณค่าของอีเมล์ให้มากขึ้น - การจำแนกระหว่างอีเมล์ที่ผมมักจะชอบลบบ่อยๆยังไม่ทันทีจะเปิดคือ อีเมล์ที่ส่งเข้ามาแจ้งด้วยระบบตอบรับอัติโนมัติไม่มี สำหรับอีเมล์ที่ผมมักจะเปิดอ่านก็คือ เมล์ที่สรุปรายละเอียดที่ผมควรจะสนใจ หรืออีเมล์ที่ให้สิทธิพิเศษ อย่างน้อยให้กาแฟผมฟรีสักหนึ่งแก้วผมก็จะคอยเปิดอ่านเมล์ฉบับนั้นอยู่เสมอครับ
และนั้นคือทั้งหมดเกี่ยวกับ Email Marketing 101 ที่เราควรนำมาประยุกต์ใช้กับแบรนด์ของเรานะครับ ในบทความนี้ถ้าใครสนใจฟังสรุปผ่าน Podcast ก็สามารถเลือกฟังได้จากช่องทางต่างๆด้านล่างได้เลย
🎧 ฟังหนุนนำพอดแคสต์ตอนนี้ได้บน Spotify :
🎧 ฟังหนุนนำพอดแคสต์ตอนนี้ได้บน SoundCloud :
https://soundcloud.com/noonnum-digital-marketing-buddy
🎧 ฟังหนุนนำพอดแคสต์ตอนนี้ได้บน Apple Podcast :
https://podcasts.apple.com/th/podcast/noonnum-podcast/id1522845865
ฝากกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ หนุนนำพอดแคสต์เพื่อนคู่คิดในการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล ด้วยนะครับ อัพเดตคอนเทนต์ใหม่ๆให้ฟังกันทุกๆวัน 😙
หนุนนำเราเป็น ผู้ช่วย และที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ เรามีบริการทางดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ สร้างเพจธุรกิจ ลงโฆษณาออนไลน์ และทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งบนโซเชียลมิเดีย สร้างสื่อวีดีโอดิจิทัล วีดีโอไวรัล เพลงดนตรี ซาวด์ ประกอบมีเดียต่างๆ ทำโลโก้ ทำกราฟฟิค และมีบริการจัดฝึกอบรมในด้านการตลาดออนไลน์ เพิ่มความสามารถให้กับพนักงานให้กับทุกธุรกิจ
รู้จักหนุนนำ | การตลาดดิจิตอลได้ทาง
Facebook : facebook.com/noonnumdigitalbuddy
Line Official Account : @noonnum
Tel:081-912-9054, 084-377-5655
Comments